การเช่าซื้อ (hire purchase) และลิสซิ่ง (leasing) เป็นการเช่าทรัพย์สินจากบุคคลหรือบริษัทหนึ่งเพื่อใช้งาน โดยผู้เช่าต้องชำระค่าเช่าเป็นงวด ๆ ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างการเช่าซื้อและลิสซิ่งคือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน
การเช่าซื้อ
สามารถนำมาใช้ประโยชน์ทางภาษีได้ โดยใช้ในส่วนของค่าเสื่อมราคา ซึ่งใช้ได้ตั้งแต่เริ่มผ่อนชำระ กิจการจะสามารถบันทึกค่าเสื่อมราคาต่อปีเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการเช่าซื้อรวมดอกเบี้ย แต่ไม่เกินราคาผ่อนชำระในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
กล่าวคือ กิจการสามารถหักค่าเสื่อมราคาได้ ในอัตราไม่เกินร้อยละ 20 ของมูลค่าต้นทุน เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 1 ล้านบาท (ค่าเสื่อมสูงสุด 200,000 บาทต่อปี)
ลีสซิ่ง (Leasing)
ลีสซิ่ง มีลักษณะเป็นการเช่าระยะยาว ค่าเช่ารายเดือนถือเป็นค่าใช้จ่ายได้ทั้งหมด สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้เต็มจำนวน แต่ไม่สามารถหักค่าเสื่อมราคาได้ เนื่องจากการเช่าซื้อแบบลิสซิ่งนั้น กิจการยังไม่ได้เป็นเจ้าของทรัพย์สิน
แต่ในทางภาษีมีเพดานกำหนด ค่าเช่าต้องไม่เกิน 36,000 บาทต่อเดือน หรือ 432,000 บาทต่อปี และลีสซิ่งถือเป็นการเช่า เมื่อจ่ายเงินค่าเช่าต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย 5%
เช่าซื้อและลิซซิ่งนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน ดังนั้นกิจการควรพิจารณาว่ากิจการของตนมีลักษณะอย่างไร และ ควรใช้แบบไหนถึงคุ้มค่ามากกว่ากัน