"ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย" และ "อากรแสตมป์" หากปฏิบัติไม่ถูกต้อง อาจสร้างความเสี่ยงและภาระค่าปรับให้แก่ธุรกิจได้อย่างไม่คาดคิด

ในการดำเนินธุรกิจ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มักมุ่งเน้นไปที่การสร้างยอดขาย การพัฒนาสินค้าและบริการ หรือการบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโต แต่ในขณะเดียวกัน ก็อาจมีประเด็นด้านการปฏิบัติตามข้อกฎหมายภาษีบางอย่างที่ถูกมองข้ามไป โดยเฉพาะเรื่องที่ดูเหมือนเป็นจุดเล็กๆ อย่าง "ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย" และ "อากรแสตมป์" ซึ่งหากปฏิบัติไม่ถูกต้อง อาจสร้างความเสี่ยงและภาระค่าปรับให้แก่ธุรกิจได้อย่างไม่คาดคิด
ARAC จึงขอสรุปความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสองประเด็นนี้ เพื่อให้ผู้ประกอบการและนักบัญชีได้ตระหนักถึงความสำคัญและนำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง
1. ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax): หน้าที่ที่ต้องทำ ไม่ใช่ทางเลือก
หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าภาษีหัก ณ ที่จ่าย (WHT) คือภาษีที่เพิ่มขึ้นมา แต่ความจริงแล้ว ไม่ใช่ ภาษีประเภทใหม่ แต่เป็นเพียง วิธีการนำส่งภาษีล่วงหน้า ของผู้รับเงินเท่านั้น โดยกฎหมายกำหนดให้ "ผู้จ่ายเงิน" มีหน้าที่หักภาษีจากเงินที่จ่ายให้แก่ผู้รับในแต่ละครั้ง และนำส่งให้กรมสรรพากรภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป (หรือวันที่ 15 หากยื่นผ่านอินเทอร์เน็ต)
ทำไมถึงสำคัญ?
การหักภาษี ณ ที่จ่าย ช่วยให้กรมสรรพากรจัดเก็บภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยบรรเทาภาระภาษีของผู้รับเงินที่จะต้องจ่ายตอนสิ้นปีได้
กรณีที่พบบ่อยว่าหักผิดพลาด และอัตราที่ถูกต้อง
ความผิดพลาดที่พบบ่อยคือการใช้ "อัตรา" ไม่ถูกต้อง ซึ่งอาจนำไปสู่การถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลังพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มได้ อัตราที่พบบ่อยตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.4/2528 มีดังนี้
จ่ายค่าจ้างทำของ: เช่น ค่าจ้างผลิตสินค้า, ค่าบริการ, ค่าซ่อมบำรุง ต้องหัก 3%
จ่ายค่าเช่าทรัพย์สิน: เช่น ค่าเช่าอาคาร, สำนักงาน, รถยนต์ (ยกเว้นค่าเช่าบ้านหรือที่อยู่อาศัยที่ผู้เช่าเป็นบุคคลธรรมดา) ต้องหัก 5%
จ่ายค่าขนส่ง: ที่ไม่ใช่การขนส่งสาธารณะ ต้องหัก 1%
จ่ายค่าโฆษณา: ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ต้องหัก 2%
หากปฏิบัติไม่ถูกต้องจะเกิดอะไรขึ้น?
หากผู้จ่ายเงินไม่หักและนำส่งภาษี หรือหักไว้แต่ไม่ครบถ้วน ผู้จ่ายเงินจะต้องรับผิดร่วมกับผู้มีเงินได้ในการชำระภาษีส่วนนั้น และยังต้องรับผิดเสีย "เงินเพิ่ม" ในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือนของจำนวนภาษีที่ต้องนำส่งอีกด้วย
2. อากรแสตมป์ (Stamp Duty): เอกสารมีผลผูกพัน ต้องไม่ลืมอากร
อากรแสตมป์ คือ ภาษีประเภทหนึ่งที่จัดเก็บในรูปแบบของดวงแสตมป์ที่ใช้ปิดบนเอกสารหรือ "ตราสาร" ที่กฎหมายกำหนดไว้ 28 ลักษณะ เพื่อให้ตราสารนั้นๆ สามารถใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ การ "ปิดแสตมป์บริบูรณ์" หมายถึงการชำระอากรโดยการปิดแสตมป์หรือชำระเป็นตัวเงินตามที่กฎหมายกำหนด
ซึ่งต้องติดอากรแสตมป์ภายใน 15 วันนับแต่วันที่จัดทำเอกสารเสร็จสมบูรณ์ และขีดฆ่าอากรแสตมป์ทุกครั้งหลังติดเพื่อป้องกันการนำอากรแสตมป์ไปใช้ซ้ำอีกครั้ง
ตราสารแบบไหนที่ต้องติดอากรแสตมป์?
ตัวอย่างตราสารที่ผู้ประกอบการมักเกี่ยวข้องและต้องติดอากรแสตมป์ เช่น
สัญญาเช่าที่ดิน โรงเรือน หรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น
สัญญาจ้างทำของ
สัญญากู้ยืมเงิน หรือการตกลงให้เบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคาร
สัญญาค้ำประกัน
ใบรับสำหรับการโอนหรือก่อตั้งสิทธิใด ๆ เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
หากปฏิบัติไม่ถูกต้องจะเกิดอะไรขึ้น?
ใช้เป็นพยานหลักฐานไม่ได้: ตราสารที่ไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์จะไม่สามารถใช้อ้างอิงเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ จนกว่าจะได้ชำระอากรให้ครบถ้วนและเสียค่าปรับตามที่กฎหมายกำหนด
ค่าปรับ (เงินเพิ่มอากร): หากเจ้าพนักงานตรวจพบ จะต้องเสียค่าปรับเป็นจำนวนหลายเท่าของอากรที่ขาดไป ซึ่งอาจสูงถึง 6 เท่าของค่าอากรเดิม
จะเห็นได้ว่าทั้ง ภาษีหัก ณ ที่จ่าย และ อากรแสตมป์ แม้จะเป็นจุดที่หลายคนมองข้าม แต่กลับมีความสำคัญและมีผลกระทบต่อธุรกิจโดยตรง การทำความเข้าใจหลักการและปฏิบัติให้ถูกต้องตั้งแต่แรกจึงเป็นวิธีป้องกันความเสี่ยงที่ดีที่สุด
บทความนี้เป็นเพียงความรู้เบื้องต้นเท่านั้น ในทางปฏิบัติยังมีรายละเอียดปลีกย่อย ข้อกฎหมาย และข้อยกเว้นอีกมากที่ต้องทำความเข้าใจให้ลึกซึ้ง
เพื่อการวางแผนภาษีที่รัดกุมและเตรียมพร้อมรับมือทุกสถานการณ์ ARAC ขอเชิญท่านเข้าร่วมงานสัมมนาครั้งสำคัญ "ประเด็นภาษีสรรพากร - ความผิด โทษ การบรรเทาโทษ การขจัดข้อโต้แย้ง" ที่จะเจาะลึกทุกประเด็นปัญหา พร้อมแนวทางป้องกันและแก้ไขจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ
พบกันวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 ณ โรงแรมคราวน์พลาซ่า กรุงเทพฯ ลุมพินี พาร์ค
สำรองที่นั่งเพื่อปิดทุกความเสี่ยงทางภาษีของธุรกิจคุณได้แล้ววันนี้!