ในปัจจุบันมีช่องทางในการทำธุรกิจมากมาย แต่การทำธุรกิจนั้นต้องประกอบไปด้วยหลาย ๆ ส่วนด้วยกันทั้งการจดทะเบียนบริษัท การทำบัญชี ภาษีที่ธุรกิจต้องเสีย การตลาดร่วมถึงต้นทุนที่มีความสำคัญอย่างพนักงาน เป็นส่วนช่วยให้ทุกบริษัทสามารถขับเคลื่อนไปทิศทางใดทิศทางหนึ่งได้ ดังนั้นรัฐบาลจึงมีมาตรการภาษีออกมาเพื่อช่วยธุรกิจเหล่านี้ดำเนินธุรกิจและได้รับประโยชน์สูงสุด
หลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากรหรือมาตรการภาษี เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้พิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยมาตรการภาษีดังกล่าวได้ให้สิทธิประโยชน์ดังต่อไปนี้
ธุรกิจที่มีรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการรวมกันแล้วไม่เกิน 100 ล้านบาท และมีพนักงานไม่เกิน 200 คน ในรอบระยะบัญชีนั้น ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้สามารถนำรายจ่ายค่าจ้างรายวันที่ได้จ่ายให้กับพนักงาน นำมาหักเป็นรายจ่ายได้จำนวน 1.15 เท่า ของค่าจ้างรายวันที่ได้จ่ายให้กับพนักงาน
โดยธุรกิจจะต้องผ่านการจดทะเบียนบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลก่อนถึงจะได้รับสิทธิประโยชน์ดังกล่าว และต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังต่อไปนี้
- บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ต้องมีการจ่ายค่าจ้างรายวันให้แก่พนักงาน ในอัตราที่สูงกว่าอัตราค่าจ้างรายวันเดิม โดยได้กำหนดและประกาศให้พนักงานทราบและได้จ่ายให้แก่ลูกจ้างก่อนวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2561
- ต้องไม่เคยใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับเงินได้ที่จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างงานกรณีอื่น ๆ
ดังนั้นหากธุรกิจใดที่ต้องการบรรเทาภาระภาษีให้กับธุรกิจของตนเอง หลังจากปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำให้กับพนักงาน สามารถนำรายจ่ายรายวันที่จ่ายให้กับพนักงานตั้งวันที่ 1 เมษายน - 31 ธันวาคม พ.ศ. 2561 มาบรรเทาภาระภาษีที่ต้องจ่ายได้ ด้วยมาตรการนี้เป็นนโยบายของรัฐบาลในการช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของลูกจ้างให้มีความเป็นอยู่ที่ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมด้วย
เผยแพร่เมื่อ 27 พ.ย. 2018